วิเคราะห์เศรษฐกิจ 2023 แนวโน้มเป็นอย่างไร ?

Posted by nor-arfah on February 07, 2023

ปี 2566 หรือปีกระต่ายตามปีนักษัตรไทย พี่ทุยเชื่อว่าคงเป็นปีที่ใครหลายคนคาดหวังให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการลงทุนสดใสขึ้นจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศรอบตัวอาจดูไม่สดใสนัก แต่ท่ามกลางวิกฤตก็ยังมีโอกาสซ่อนตัวอยู่เสมอ วันนี้พี่ทุยจึงชวนทุกคนมาพลิกมุมมอง วิเคราะห์เศรษฐกิจ 2023 เพื่อพร้อมรับมือและค้นหาโอกาสการลงทุนไปด้วยกัน

ต้องบอกว่าปี 2565 เป็นปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายอย่าง โดยเฉพาะสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ก่อตัวมาตั้งแต่ต้นปีจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตเงินเฟ้อไปทั่วโลก

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ธนาคารกลางแทบทุกแห่งต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนต่าง ๆ ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งตัดสินใจลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานหลายหมื่นคน แถมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกดดันให้สินทรัพย์ทางการเงินหลายประเภทปรับตัวลดลงอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้ทำให้ คริสตาลินา จอร์เจียวา (Kristalina Georgieva) กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงดังกล่าวที่ยังลากยาวต่อเนื่องมาถึงปี 2566 จะมีจำนวนประเทศเกือบครึ่งโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

แนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2566 – จะเกิดเศรษฐกิจถดถอย ? สิ่งแรกที่พี่ทุยอยากบอกคือ อย่าตื่นตูมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเศรษฐกิจมากจนเกินไป แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาเหล่าบรรดา CEO ของบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่งต่างก็ฟันธงว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและให้ทุกคนตั้งการ์ดพร้อมรับมือให้ดี เรียกว่าสร้างความตื่นตระหนักและความวิตกกังวลให้กับใครหลายคนเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หากย้อนอดีตในช่วงกว่า 50 ปีที่ผ่านมา โลกเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ได้แก่ วิกฤตราคาน้ำมันโลก (ปี 2518) วิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา (ปี 2525) วิกฤตการเงินในยุโรป (ปี 2534) วิกฤตซับไพร์ม (ปี 2552) และล่าสุดวิกฤตโควิด-19 (ปี 2563)

และเมื่อย้อนดูสถิติตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของแต่ละครั้ง พบข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ มักเป็นปีที่ GDP โลกติดลบหรือแทบจะไม่เติบโตเลย ส่วน GDP สหรัฐฯ ก็ติดลบทุกครั้ง

ตัวอย่างเช่น 1) วิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาปี 2525 ทำให้ GDP โลกโตเพียง 0.4% และ GDP สหรัฐฯ ติดลบ 1.8% 2) วิกฤตซับไพร์มปี 2552 ทำให้ GDP โลกติดลบ 1.3% และ GDP สหรัฐฯ ติดลบ 2.8% และวิกฤตโควิด-19 ทำให้ GDP ของทั้งโลกและสหรัฐฯ ติดลบ 3.1% และ 2.8% ตามลำดับ

ขณะที่ล่าสุดทางธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2566 แม้จะมีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.7% แต่ยังเป็นตัวเลขที่สูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในอดีตอยู่มาก ส่วน GDP ของสหรัฐฯ ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ในแดนบวก ฉะนั้น ปี 2566 แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ หรือหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นจริงก็คงจะไม่รุนแรงเหมือนในอดีต

วิเคราะห์เศรษฐกิจ 2023 จากตัวเลข GDP

แนวโน้มเศรษฐกิจจีน 2566 – ฟื้นตัวหรือไม่ ?

ข้ามมาดูประเทศในฝั่งเอเชีย จีนในฐานะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของภูมิภาค และเบอร์ 2 ของโลก เป็นประเทศขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ GDP ปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

โดยทาง World Bank มองว่า GDP จีนจะเติบโตได้ 4.3% เพิ่มขึ้นจาก 3.0% ในปี 2565 ขณะที่สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs คาดว่า จีนมีโอกาสเติบโตได้สูงถึง 5.2% ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งไว้ที่ 5.5%

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างเซอร์ไพร์สไปทั่วโลกคือ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมโควิด-19 และยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ด้วยการเปิดประเทศและอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางระหว่างประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา นับว่าเร็วกว่าที่หน่วยงานหลายแห่งคาดไว้เดิมอย่างน้อยช่วงไตรมาสแรกของปี

การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าคาดนับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ทั้งเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อไปได้ จากการค้าขาย การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกของชาวจีนจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากช่วงก่อนโควิด-19 ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดกว่า 150 ล้านคน และยังเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

ขณะเดียวกัน จีนก็เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อสูงเหมือนชาติอื่น โดยในปี 2565 อัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ 2.0% เทียบกับสหรัฐฯ และยุโรปที่ 8.0% และ 8.4% ตามลำดับ ทำให้ทางการจีนไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือทำให้ต้นทุนต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัญหาใหญ่กวนใจมาตลอดก็เริ่มทยอยทุเลาลงไปบ้าง

ฉะนั้น การเปิดประเทศของจีน แม้ช่วงแรกอาจมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่การที่เศรษฐกิจแดนมังกรตั้งท่ารอผงาด จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหนุนให้ทั้งโลก รวมถึงจีนเองโตต่อไปได้ และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อีกด้วย

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย 2566 – ไทยโตสวนกระแสโลก

สำหรับไทย หากใครยังพอจำกันได้ว่าในปี 2563 ที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ตัวเลข GDP ไทยติดลบถึง 6.2% แทบจะมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ปี 2564 และปี 2565 แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้บ้างแต่นับว่ายังตามหลังประเทศอื่นอยู่มาก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 ดูเหมือนจะเป็นปีกระต่ายทองสำหรับเศรษฐกิจไทย จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะจากการเปิดประเทศของจีน เพราะจีนคือนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลักของไทยที่มีสัดส่วนคิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในช่วงก่อนโควิด-19

ขณะที่ล่าสุด นับตั้งแต่จีนเปิดประเทศเมื่อต้นเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา เริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวจีนทยอยเข้าไทยบ้างแล้ว ขณะที่สายการบินจีน รวมถึงบริษัททัวร์จีนในไทยก็เริ่มกลับมาขอเปิดดำเนินกิจการอีกครั้ง

ทั้งนี้ การสำรวจประเทศปลายทางยอดนิยมของชาวจีนหลังเปิดประเทศ พบว่า ไทยเป็นจุดหมายปลายทางลำดับต้นๆ ที่ชาวจีนอยากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทำให้คาดว่าทั้งปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงชาวจีนตบเท้าเข้าไทยมากถึง 25-30 ล้านคนเลยทีเดียว

ภาคท่องเที่ยวของไทยที่ดูฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แต่ยังส่งผลประโยชน์ทางอ้อมไปยังธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ โรงแรมและร้านอาหาร ค้าส่งค้าปลีก โลจิสติกส์ เป็นต้น รวมถึงยังช่วยให้แรงงานในธุรกิจดังกล่าวกลับมามีงานทำและมีรายได้อีกครั้ง

ด้วยทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ดูดีขึ้น ทำให้องค์กรระหว่างประเทศทั้ง IMF และ World Bank คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 จะเติบโตได้เกือบ 4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี และยังถือเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียเพียงไม่กี่แห่งที่เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว

วิเคราะห์เศรษฐกิจ 2023 แนวโน้มเป็นอย่างไร ?

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เมื่อย้อนอดีตกลับไปดูผลตอบแทน (Performance) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ครอบคลุมวิกฤตทั้ง 5 ครั้ง พบสิ่งที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในช่วงปี 2000-2003

แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีช่วงใดเลยที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนติดลบเกิน 1 ปี ฉะนั้น ปี 2565 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเฉลี่ยเกือบ 30% อาจนำมาซึ่งโอกาสในปี 2566 นี้ก็เป็นได้

ส่วนตลาดหุ้นจีนแม้เผชิญปัจจัยรุมเร้าอยู่ต่อเนื่อง ทั้งปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ และการปิดประเทศ แต่นับตั้งแต่ทางการจีนประกาศยกเลิกนโยบาย Zero-COVID และเปิดประเทศอย่างเป็นทางการช่วงต้นเดือน ม.ค. 66 ที่ผ่านมา พบว่า ตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอด 2-3 ปี พลิกกลับมาฟื้นขึ้นทันทีอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึง Impact และ Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนในระยะข้างหน้าได้เป็นอย่างดี

ส่วนตลาดหุ้นไทยดูสดใสขึ้นจากทิศทางเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ขณะที่เปิดปี 2566 มาร่วมเดือน ก็มีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกราว 2 หมื่นล้านบาท

สิ่งเหล่านี้เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งพอจะช่วยการันตีว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถก้าวกระโดดต่อไปข้างหน้าได้อย่างไม่สะดุด

สิ่งที่พี่ทุยกล่าวมาทั้งหมดไม่ได้เป็นการชี้นำแต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ทุกคนได้ลองพลิกมุมมอง ค้นหาโอกาสในยามที่โลกเต็มไปความเสี่ยงและความกลัว ซึ่งหากใครตัดสินใจเลือกลงทุนด้วยความรอบคอบก็อาจจะเจอของดีราคาถูกก็เป็นได้ หวังว่าปีนี้จะเป็นปีกระต่ายทองของทุกคนนะครับ

ข้อมูลจาก : moneybuffalo