ประกันรถยนต์จะตัดสินว่า ต้องจ่ายไหม ตามเกณฑ์ที่ ผู้ขับขี่จะต้องไม่ประมาทเลินเล่อ หรือ จงใจทำให้รถเกิดความเสียหายจากน้ำท่วม หรือ ต้องไม่มีเจตนาที่จะขับรถลุยน้ำท่วม
เช่น รู้อยู่แล้วว่าถนนเส้นที่จะไปเกิดน้ำท่วม และมีทางอื่นไปได้ แต่ไม่เลือกจะไป เลือกที่จะตั้งใจขับรถลงน้ำ เพื่อเอาเงินเคลมประกันรถยนต์
เจ้าของรถประมาทหรือจงใจให้รถตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมจนเกิดความเสียหาย เช่น ขับรถไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการทำให้รถเสียหายจากน้ำท่วม แม้จะมีป้ายเตือน หรือมีประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า หรือ สตาร์ทรถเมื่อรถอยู่ในสภาพที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว เป็นต้น
ประกันจะเคลมให้เมื่อ เกิดจากภัยธรรมชาติจนน้ำเข้ารถเสียหาย เช่น จอดรถอยู่หน้าบ้าน แต่ฝนตกลงมาอย่างหนักช่วงกลางคืนจนน้ำท่วม หรือ เกิดน้ำหลากจนไม่สามารถย้ายรถหนีได้ทัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วน เป็นเหตุสุดวิสัยไม่สามารถเลี่ยงน้ำท่วมได้จริง
หรือ รถติดอยู่บนถนน ไม่สามารถขยับไปไหนได้ ในขณะที่มีฝนตกหนัก จนน้ำท่วมตัวถังรถและทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยเช่นกัน
ปกติแล้วประกันภัยรถยนต์จะมีความคุ้มครองเรื่องภัยธรรมชาติรวมอยู่ด้วย ทั้งประกันภัยชั้น 1, ประกันภัยชั้น 2+ (บางแพกเกจ) และชั้น 3+ (บางแพกเกจ)
ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม มีทั้งเสียหายโดยสิ้นเชิง และเสียหายบางส่วน ซึ่งการจ่ายสินไหมทดแทน และการให้ความคุ้มครองซ่อมแซมรถจะแตกต่างกันไปด้วย
1.เสียหายโดยสิ้นเชิง (Total Loss) : สภาพรถถูกน้ำท่วมรถมิดคัน (เกินช่วงคอนโซลหน้า) ซึ่งสร้างความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมกลับมาให้อยู่ในสภาพเดิมได้ หรือ มีค่าซ่อมแซมมูลค่ามากกว่า 70% ของมูลค่าทุนประกัน ทางบริษัทประกันภัยจะเสนอคืนทุนประกันทดแทนให้ประมาณ 70-80% ของทุนประกัน เพื่อรับโอน หรือ ซื้อซากรถนั้นแทนการซ่อมแซม
2.เสียหายบางส่วน (Partial Loss) : รถได้รับความเสียหายเพียงบางส่วน และบริษัทประกันรถมองว่าสามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม ทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถให้ทั้งหมด หรือตกลงชดใช้เป็นจำนวนเงินเท่ากับราคาซ่อมที่ประเมิน
1.ถ่ายรูปรถขณะที่ยังมีน้ำท่วมขัง โดยถ่ายให้เห็นทะเบียนรถ (กรณีที่ไม่ได้ท่วมมิดคัน) เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ารถคันที่เกิดเหตุมีเจ้าของเป็นผู้เอาประกันตามกรมธรรม์
2.โทรแจ้งบริษัทประกันภัยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อตรวจสอบกรมธรรม์ และแจ้งทำเคลมทางโทรศัพท์ จากนั้นรอเจ้าหน้าที่ประสานงานให้ความช่วยเหลือเรื่องรถยก รถลากเพราะ หากปล่อยไว้นานจนน้ำแห้งแล้วยังไม่ได้เอารถไปเคลมอาจจะเกิดกรณีที่มีความเสียหายจุดอื่นๆ เพิ่มขึ้นระหว่างนั้น และประกันก็อาจจะไม่เคลมหรือซ่อมให้ทั้งหมดก็เป็นได้
3.นัดหมายตรวจสอบสภาพความเสียหายของรถกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัย ก่อนนำรถเข้าซ่อม
4.รอนำรถเข้าซ่อมที่อู่กลาง หากสภาพรถยังสามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ หรือมีค่าเสียหายไม่เกิน 70% ของทุนประกัน
พี่ทุยหวังว่าจะได้เคลมประกันกันทุกคนน้าา เพราะ ก็คงไม่มีใครอยากเอารถยนต์สุดที่รักของตัวเองไปลุยน้ำแบบจงใจแน่นอนน
ข้อมูลจาก : moneybuffalo