จีนเปิดประเทศ กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า โลกได้ก้าวเข้าสู่ “ยุคโลกหลังโควิด-19” อย่างเต็มตัวแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้จีนคือ ชาติเดียวในโลกที่พยายามดื้อดึงกับมาตรการควบคุมโควิดด้วยนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (ZERO COVID-19) มาโดยตลอด แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้แล้วหันมาหาวิธีใช้ชีวิตอยู่ร่วมไปกับเจ้าโควิด-19 ให้ได้ก่อนที่คนในประเทศจะย่ำแย่ไปกว่านี้
แม้ว่าการเปิดประเทศของจีนจะเหมือนเป็นข่าวดีต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ก็ส่งผลเสียให้บางประเทศเหมือนกัน
พี่ทุยขออาสาพาไปดูกันว่าจะมีประเทศใดบ้างที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองของจีนมากที่สุด และมีผลเสียอย่างไรบ้าง ไปฟังกัน …
จีนประกาศยกเลิกมาตรการกักตัวเข้า-ออกของจีน เริ่มวันที่ 8 ม.ค. 2566
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายหนนี้ของจีนย่อมนำมาซึ่งการปลดปล่อยพลังแห่งการบริโภคอันมหาศาลที่อัดอั้นไว้มานานกว่า 3 ปี
และ “ไทย” ก็ดูจะเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้เต็ม ๆ เฉกเช่นเดียวกับฮ่องกง และสิงคโปร์
โดยยืนยันได้จากผลการศึกษาของโกลด์แมนแซ้คธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังของโลก ที่ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะทั้ง 3 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจนี้มีสัดส่วนในการพึ่งพารายได้จากการส่งออกไปยังจีนและต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนค่อนข้างสูงนั่นเอง โดยเฉพาะไทยและสิงคโปร์ ที่นักท่องเที่ยวจากจีนคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28% และ 20% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
รายงานดังกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่า การเปิดเมืองดังกล่าวจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจไทยราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5.42 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 2.9% ของขนาด GDP ไทยในปัจจุบัน
ส่วนฮ่องกง และสิงคโปร์คาดว่าจะได้ประโยชน์ราว 5.7% และ 1.2% ของขนาด GDP ในปัจจุบัน
ดังนั้น การเปิดประเทศของจีน มีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ดูมีความหวังกับปีหน้าได้มากขึ้น
การคาดการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย เพราะภายใน 30 นาทีหลังภาครัฐประกาศมาตรการเปิดเมืองออกมา ยอดการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศในอินเทอร์เน็ตของจีนก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมยังเป็นการทำสถิติสุงสุดในรอบ 3 ปีอีกด้วย ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ไทย สิงคโปร์ และฮ่องกง ก็ยังคงติดอยู่ใน Top 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวจีนอยากไปมากที่สุดอยู่เช่นเดิม
ข้อมูลจากทาง CNBC รายงานว่า หลังจากนโยบายเปิดประเทศของจีนได้ประกาศขึ้น คนในประเทศก็ต่างเตรียมตัวออกจากประเทศ โดยมี 10 ประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ดังนี้
ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการเดินทางและการท่องเที่ยวดูจะเป็นกลุ่มที่ได้อานิสงค์ไปเต็ม ๆ จากมาตรการเปิดเมืองของจีนในครั้งนี้
ยืนยันได้จากยอดการจองเที่ยวบินไปต่างประเทศในจีนที่พุ่งกระฉูดอย่างรวดเร็วหลังมีการประกาศมาตรการออกมา
ทั้งนี้ คาดการณ์กันว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะออกมาเที่ยวต่างประเทศกันมากในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ที่จะมีขึ้นระว่างวันที่ 21 – 27 ม.ค.2566
นอกจากนี้ ด้านการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงยางพารา ก็มีแนวโน้มได้ประโยชน์ตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาโรงงานต่างชาติหลายแห่งในจีนน่าจะเริ่มกลับมาเดินเครื่องสายการผลิตของตนเอง หลังจากต้องหยุดชะงักไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด
ใช่ว่า การเปิดประเทศของจีนจะมีแต่ผลดีเสมอไป เพราะในแง่หนึ่งก็กำลังเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกแพงขึ้นได้เช่นกันจากการที่จีนจะเริ่มมีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นตามมาหลังจากนี้
โดยคาดการณ์กันว่าจะทำให้ราคาน้ำมันในปัจจุบันแพงขึ้นอีกราว ๆ 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปอยู่เกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศที่ประสบกับปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงอยู่แล้วให้ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เช่น ศรีลังกา เลบานอน และซิมบับเว
นอกจากนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อโควิด-19 เวอร์ชั่นจีน กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาตรการให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 กับผู้เดินทางจากจีนทุกรายที่เข้าประเทศแล้ว และหากตรวจพบจะต้องทำการกักตัว 7 วันในสถานที่ที่กำหนดไว้ให้
ดังนั้น การเปิดประเทศจีนหนนี้จึงมีทั้งผลดีและผลเสียที่จะตามมา เราเองก็ต้องเฝ้าติดตามข่าวว่า ทางจีนจะเปลี่ยนแปลงนโยบายอะไรอีกหรือไม่ ? เพราะหากพี่ใหญ่คนนี้ขยับตัวที่ พี่ทุยบอกได้เลยว่ากระทบนานาประเทศแน่นอน ติดตามกันต่อไปครับ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงพี่ทุยจะรีบมารายงาน
ข้อมูลจาก : moneybuffalo